วิตามินเอ (Vitamin A) : ช่วยเรื่องสายตาจริงไหม ? จำเป็นต้องกินเสริมหรือไม่ ?
0.0
User Rating
( votes)
0
(0 reviews)
วิตามินเอ (Vitamin A)
Overview
- วิตามินเอ เป็นวิตามินละลายในไขมันชนิดหนึ่ง แบ่งหลักๆเป็น 2 ชนิดคือ เรตินอยด์ (Retinoids) พบในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น นม เนย เนื้อสัตว์ ปลาทะเล อีกชนิดหนึ่ง คือ เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) พบในพืชผัก ผลไม้
- American Heart Association แนะนำให้บริโภคสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งรวมถึงวิตามินเอในรูปเบต้าแคโรทีน โดยให้กินผักผลไม้ ธัญพืชให้เพียงพอ มากกว่าจากอาหารเสริม จนกว่าจะมีการศึกษาของประโยชน์โทษอย่างแน่ชัด เนื่องจากหากรับประทานในขนาดสูงกว่าขนาดทั่วไปที่แนะนำอาจทำให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ได้
- โดยทั่วไป วิตามินเอมีที่ใช้มากในการรักษาสิว หรือริ้วรอยบนใบหน้า โดยอยู่ในรูปยาทา หรือยากิน (เช่น Accutane) ที่ได้รับจากหมอผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีใช้ในโรคตาแห้ง จากการขาดวิตามินเอ
Benefits
วิตามินเอ มีส่วนช่วยในการทำงาน เสริมสร้างร่างกาย โดยเฉพาะ ตา ผิวหนัง และ ภูมิต้านทานโรค
วิตามินเอ & โรคต่างๆ
วิตามินเอ ช่วยในภาวะ และโรคต่างๆต่อไปนี้
- โรคขาดวิตามินเอ ซึ่งมักพบใน
- ผู้ที่ขาดสารอาหาร ขาดโปรตีน
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ดูดซึมสารอาหารหรือไขมันได้น้อยกว่าปกติ เช่น ตับอ่อนอักเสบ ลำไส้อักเสบ พยาธิปากขอในลำไส้ ตับแข็ง (อย่างไรก็ตามผู้ป่วยโรคตับควรตรวจว่ามีภาวะขาดวิตามินเอหรือไม่ เนื่องจากวิตามินเออาจมีผลเสียต่อตับได้)
- ผู้ป่วยเบาหวาน ไทรอยด์สูง (ไทรอยด์เป็นพิษ)
- ผู้ที่มีภาวะขาดสังกะสี Zinc อาจทำให้เกิดอาการขาดวิตามินเอร่วมด้วย การรับประทานสังกะสีร่วมกับวิตามินเอเสริม ช่วยให้ภาวะดังกล่าวดีขึ้นได้
- ต้อกระจก การบริโภควิตามินเอในอาหารเป็นประจำ พบว่ามีความเสี่ยงเป็นต้อกระจกน้อยกว่าคนทั่วไป
- โรคจอประสาทตาเสื่อม Retinitis pigmentosa พบว่าวิตามินเอสามารชะลอการทำลายจอประสาทตาจากตัวโรคได้
- มะเร็งเต้านม หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนที่มีญาติเป็นมะเร็งเต้านมที่รับประทานวิตามินเอขนาดสูงในอาหาร พบว่ามีความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านมลดลง อย่างไรก็ตามยังไม่มีการสรุปว่าการกินวิตามินเอเสริมให้ประโยชน์เช่นเดียวกันหรือไม่
Safety
โดยทั่วไปการรับประทานวิตามินเอปลอดภัย เมื่อใช้น้อยกว่า 10,000 units (IU) ต่อวัน การรับประทานวิตามินเอเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน เบื่ออาหาร จุกแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ไข้ เหงื่อออกมากได้
อาจต้องระมัดระวังการใช้ในกลุ่มต่อไปนี้
- ในผู้สูงอายุ หรือ หญิงวัยหมดประจำเดือน บางงานวิจัยพบว่าหากบริโภควิตามินเอขนาดสูง อาจเสี่ยงต่อกระดูกพรุน และ กระดูกสะโพกหักมากขึ้น
- ผู้ป่วยโรคตับ หลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามินเอเสริม เนื่องจากอาจเกิดผลเสียต่อตับมากขึ้นได้
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดผลเสียต่อตับ
- ผู้ป่วยโรค Type V hyperlipoproteinemia อาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากวิตามินเอมากขึ้น ไม่ควรรับประทานวิตามินเอเสริม
- ผู้ที่รับประทานยาที่มีผลต่อตับอยู่เดิม เช่น พาราเซตามอล ยากันชัก ยาวัณโรค ยาลดไขมันกลุ่ม statin ยาฆ่าเชื้อรา
- ผู้ที่รับประทานยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin เนื่องจากการรับประทานวิตามินเอปริมาณมากอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงได้
ผู้ที่ทานนม Low fat ที่มีวิตามินเอมาก หรือ กินผักและผลไม้เป็นประจำไม่จำเป็นต้องได้รับวิตามินเอเสริม
How To Choose / Use
- ปริมาณวิตามินเอทั้งหมดที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน สำหรับบุคคลทั่วไป (รวมทั้งในอาหารปกติ และ ในอาหารเสริม)
อายุ | Vitamin A: Recommended Dietary Allowance (RDA) in micrograms (mcg) of Retinol Activity Equivalents (RAE) |
เด็ก | |
1-3 ปี | 300 ไมโครกรัม/วัน (1,000 IU/วัน) |
4-8 ปี | 400 ไมโครกรัม/วัน (1,320 IU/วัน) |
9-13 ปี | 600 ไมโครกรัม/วัน (2,000 IU/วัน) |
ผู้หญิง | |
14 ปีขึ้นไป | 700 ไมโครกรัม/วัน (2,310 IU/วัน) |
ตั้งครรภ์ | 14-18 ปี : 750 ไมโครกรัม/วัน (2,500 IU/วัน) 19 ปีขึ้นไป : 770 ไมโครกรัม/วัน (2,565 IU/วัน) |
ให้นมบุตร | น้อยกว่า 19 ปี : 1,200 ไมโครกรัม/วัน (4,000 IU/วัน) 19 ปีขึ้นไป : 1,300 ไมโครกรัม/วัน (4,300 IU/วัน) |
ผู้ชาย | |
14 ปีขึ้นไป | 900 ไมโครกรัม/วัน (3,000 IU/วัน) |
- ผู้ที่มีการดูดซึมไขมันผิดปกติ เช่น ตับอ่อนอักเสบ ลำไส้อักเสบ พยาธิปากขอในลำไส้ และ มีภาวะขาดวิตามินเอ อาจต้องบริโภควิตามินเอในรูปละลายน้ำเพื่อให้ดูดซึมวิตามินเอได้มากขึ้น