วิตามินอี (Vitamin E) : มีประโยชน์อย่างไร ? ใครควรระวังในการกินเสริมบ้าง ?
User Rating
( votes)
0
(0 reviews)
วิตามินอี (Vitamin E, Tocopherol)
Overview
- วิตามินอี เป็นวิตามินละลายในไขมัน พบในน้ำมันพืช ธัญพืช เนื้อสัตว์ ไก่ ไข่ ผัก ผลไม้ มักมีการใช้วิตามินอีในโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ยังมีการใช้ในอาการปวดท้องประจำเดือนด้วย
- American Heart Association ยังแนะนำให้บริโภควิตามินอีจากการรับประทานผักผลไม้ธัญพืชให้เพียงพอมากกว่าจากอาหารเสริม จนกว่าจะมีการศึกษามากกว่านี้
Benefits
วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการทำงานต่างๆของร่างกาย และ ลดการอักเสบ
วิตามินอี & โรคต่างๆ
วิตามินอีมีประโยชน์กับโรคหรือภาวะต่างๆดังต่อไปนี้
- โรคขาดวิตามินอี
- โรคทางพันธุกรรมที่มีอาการผิดปกติทางการเคลื่อนไหวจากการขาดวิตามินอี
นอกจากนี้ยังอาจช่วยในภาวะอื่นๆ เช่น
- อัลไซเมอร์ วิตามินอีอาจช่วยชะลอการสูญเสียความจำในโรคอัลไซเมอร์ได้
- ปวดท้องประจำเดือน พบว่าการกินวิตามินอี 2 วันก่อนมีประจำเดือน ไปจนถึง 3 วันหลังเริ่มมีประจำเดือน ช่วยลดอาการปวด ระยะเวลาปวด และลดปริมาณเลือดประจำเดือนที่ออกได้
- ผู้ชายที่มีบุตรยาก พบว่าผู้ชายที่รับประทานวิตามินอีเสริม สามารถช่วยเพิ่มอัตราการมีบุตรได้
- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ พบว่ากาิรกินวิตามินอี 200 IU ต่อวัน เป็นเวลา 10 ปี ช่วยลดอัตราการตายจากมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- โรคพาร์กินสัน พบว่าการรับประทานวิตามินอีจากอาหาร สามารถป้องกันพาร์กินสันได้ แต่การศึกษาการรับประทานวิตามินอีสังเคราะห์พบว่าไม่สามารถลดอัตราการเป็นโรคนี้ได้
- ผิวไหม้จากแดด พบว่าการกินวิตามินอีร่วมกับวิตามินซี สามารถลดอาการผิวไหม้จากแดดได้ อย่างไรก็ตามการกินวิตามินอีอย่างเดียวไม่พบว่าสามารถช่วยได้ ส่วนการทาผิว พบว่าการทาวิตามินอี ร่วมกับวิตามินซีบริเวณผิว สามารถลดอาการไหม้จากแดดได้เช่นกัน
- ตับอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic steatohepatitis, NASH) พบว่าการรับประทานวิตามินอีทุกวันช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นได้
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ พบว่าการกินวิตามินอี ร่วมกับการกินยารักษาปกติ สามารถช่วยลดอาการปวดข้อรูมาตอยด์ได้มากกว่าการกินยาเพียงอย่างเดียว แต่อาจไม่ลดการบวม
Safety
- โดยทั่วไปวิตามินอีปลอดภัย และ ผลข้างเคียงพบได้น้อย เมื่อกินไม่เกินขนาดทั่วไปที่แนะนำ (15 mg หรือ 22 IU ต่อวัน)
- อย่างไรก็ตามบางงานวิจัยพบว่า แม้ว่าวิตามินอีขนาดสูงอาจช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองตีบ (เนื่องจากวิตามินอีมีฤทธิ์ป้องกันเลือดแข็งตัว) การกินวิตามินอีขนาดสูง 300-800 IU ต่อวัน อาจเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคหลอดเลือดสมองแตกซึ่งรุนแรงกว่าได้ โดยหากยิ่งกินขนาดสูงขึ้นยิ่งเพิ่มความเสี่ยงจากผลข้างเคียงต่างๆมากขึ้น
กลุ่มคนต่อไปนี้ควรระมัดระวังการใช้วิตามินอี
- เบาหวาน วิตามินอีอาจเพิ่มอัตราการเกิดหัวใจล้มเหลวในผู้ป่วยเบาหวาน ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยววิตามินอีขนาดสูง (เกิน 400 IU ต่อวัน)
- โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง ควรหลีกเลี่ยงการกินวิตามินอีขนาดสูง (เกิน 400 IU ต่อวัน) เนื่องจากการศึกษาพบว่าอาจเพิ่มอัตราการตายในผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคดังกล่าวได้
- โรคการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เนื่องจากวิตามินอีอาจทำให้เลือดแข็งตัวยากขึ้นได้
- โรคจอประสาทตาเสื่อมตามพันธุกรรม Retinitis Pigmentosa การศึกษาพบว่าการกินวิตามินอี 400 IU ต่อวันอาจทำให้จอประสาทตาเสื่อมเร็วขึ้นได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้วิตามินอี
- ผู้ที่รับประทานยาต่อไปนี้ ยาลดไขมันกลุ่มStatin, Niacin ยาแก้แพ้Telfast ยาฆ่าเชื้อรา ยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด ยาเคมีรักษามะเร็ง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานวิตามินอีเสริม เนื่องจากวิตามินอีอาจส่งผลต่อยาเหล่านี้ได้
How to Choose / Use
- โรคขาดวิตามินอี ใช้ Natural Vitamin E (RRR-alpha tocopherol) ปริมาณ 65-70 IU ต่อวัน
- โรคอัลไซเมอร์ ใช้ 1000-2000 IU ต่อวัน ร่วมกับยาอัลไซเมอร์ Aricept
- ปวดท้องประจำเดือน ใช้ 600 IU ต่ิอวัน โดยอาจใช้ขนาด 200 IU วันละ 2 เวลา หรือ 500 IU วันละครั้ง โดยกินวิตามินอี 2 วันก่อนมีประจำเดือน จนถึง 3 วันหลังเริ่มมีประจำเดือน
- ผู้ชายที่มีบุตรยาก 200-600 IU ต่อวัน
- ปวดข้อรูมาตอยด์ 600 IU วันละ 2 ครั้ง
- ป้องกันผิวไหม้จากแดด ใช้ Natural Vitamin E (RRR-alpha tocopherol) 1000 IU ร่วมกับ วิตามินซี 2 g