งานวิจัยใหม่พบว่า ‘น้ำตาล’ อาจจะแย่กว่า ‘ไขมัน’ ?
หรือว่า ‘น้ำตาล’ จะแย่กว่า ‘ไขมัน’ ?
เมื่อปลายเดือนที่แล้วนี้เอง มีงานประชุมของหมอโรคหัวใจยุโรป Europian Society of Cardiology 2017 ซึ่งได้มีการนำงานวิจัยที่ใหญ่มากๆงานหนึ่งที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ชื่อดัง Lancet มานำเสนอ
.
งานวิจัยนี้ศึกษาในคนถึง 135,335 คน ใน 18 ประเทศ ซึ่งรวมถึงในเอเชียด้วย ไม่ได้มีแค่ทางฝั่งอเมริกาเหนือ หรือ ยุโรปเท่านั้นเหมือนงานวิจัยยุคก่อนๆ โดยเก็บข้อมูลเป็นเวลานานถึง 10 ปีด้วยกัน
.
ผมได้เอาข้อสรุปสั้นๆมาให้อ่านกันดังนี้ฮะ
- กินคาร์โบไฮเดรตมาก สัมพันธ์กับ อัตราการตายสูงกว่าคนที่กินคาร์โบไฮเดรตน้อย
- กินไขมันโดยรวมมาก รวมถึงไขมันชนิดต่างๆมากด้วย สัมพันธ์กับ อัตราการตายต่ำกว่าคนที่กินน้อย
- การกินไขมันโดยรวม และ ไขมันชนิดต่างๆ รวมถึงคาร์โบไฮเดรตมากหรือน้อย ไม่พบว่าสัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดหัวใจ
- กินไขมันอิ่มตัวมาก สัมพันธ์กับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองที่ต่ำกว่า
ปล. การกินมากหรือน้อย เค้าแบ่งกลุ่มคนเป็น 5 กลุ่ม เอากลุ่มมากสุดมาเปรียบเทียบกับกลุ่มน้อยสุดฮะ โดยกลุ่มที่กินคาร์โบไฮเดรตมากสุดเฉลี่ยคิดเป็นการกินคาร์บ 77% ของพลังงานในแต่ละวัน เทียบกับกินน้อย คือกินคาร์บ 46%
ส่วนกลุ่มที่กินไขมันมาก คือ กินไขมันโดยรวมเฉลี่ย 35% ของพลังงานในแต่ละวัน เทียบกับกลุ่มกินน้อยสุดคือ กินไขมันโดยรวมเฉลี่ย 10%
.
อ่านแล้วก็ช็อคไปตามๆกันใช่ไหมฮะ แล้วไอ้ที่เราเรียนรู้กันมาตั้งนานล่ะ คืออะไร ?
.
งานวิจัยเดิมทำในคนอเมริกาเหนือ และ ยุโรป ซึ่งการกินมากเกินนั้นพบบ่อย ซึ่งต่างจากพฤติกรรมการกินของคนในแถบอื่นๆ เช่นบ้านเรา ดังนั้นการนำผลนั้นมาใช้แบบเดียวกัน (ที่เน้นลดการกินไขมันเป็นหลัก) ใช้ได้หรือไม่นั้นยังไม่แน่ชัด
.
แต่งานวิจัยนี้ทำในกลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงเอเชียด้วย ดังนั้นจึงน่าจะนำมาประยุกต์กับเราได้ตรงจุดมากกว่า
.
อย่างไรก็ตาม ต้องพึงระลึกไว้ว่า เนื่องจากเป็นการเก็บข้อมูลเฉยๆ ผลที่ออกมาว่าสัมพันธ์นั้น ไม่ได้สามารถแปลได้ว่ามันเป็นเหตุและผลกันหรือไม่ แค่บอกได้ว่าคนกลุ่มที่กินแบบนี้ อัตราตายรวมๆมากกว่า ซึ่งมันอาจจะแค่เกิดร่วมกันเฉยๆ (Coincidence) โดยไม่เกี่ยวข้องกันก็เป็นได้
สรุปสิ่งที่จะนำไปใช้ได้คือ
- ระวังคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล แป้ง โดยเฉพาะที่ผ่านการขัดสีมากๆ ให้มากขึ้น จริงๆมันอาจจะแย่กว่าไขมันก็ได้
- ส่วนไขมันนี่ให้กินเยอะๆดีไหม ผมขอตอบว่าตัวใครตัวมันนะเออ 555 เดินทางสายกลางกันดีกว่านะฮะ
ความเห็นส่วนตัวผมคือคนเรากินไขมันได้จำกัดอยู่แล้ว เพราะ กินมากๆเราจะรู้สึกว่าอิ่ม หรือ เลี่ยนไปเอง อย่างคนที่กินมากสุดในกลุ่มทดลอง ก็เฉลี่ยแค่ 35% ของพลังงานในแต่ละวัน ซึ่งในคำแนะนำเดิมๆ คือ ไม่ให้กินเกิน 30% ซึ่งก็คิดว่าไม่ได้ต่างกันมากนัก
.
คือจริงๆในทางปฏิบัติเราก็ไม่รู้อยู่แล้วว่าเรากินไปกี่ % ใช่ไหมฮะ ถ้าให้ผมเดาเอาเองก็คิดว่าที่กินเยอะของเรานี่ก็คงไม่ได้เกินค่าเฉลี่ยของกลุ่มคนที่กินมากสุดตั้งสองสามหมื่นคนนั้นหรอกมั้งเนอะ เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปโฟกัส low fat โดยไม่แคร์อย่างอื่น อาจจะต้องไปโฟกัสที่พวกแป้งน้ำตาล ขนมหวานที่กินเท่าไหร่ก็ไม่หายอยากซะทีมากกว่า มีแต่ว่าอยากจะกินมากขึ้นๆ…
.
กู๊ดบาย บิงซูววววววว TT
ใครไม่อยากพลาดความรู้สนุกๆกับผม อย่าลืมเข้าไปกดไลค์เพจเฟซบุ๊ค แล้วเลือกเห็นโพสต์ก่อนให้ด้วยนะฮับบบ เราจะได้เจอกันบ่อยๆฮะ หรือมาเป็นเพื่อนกันได้ที่ lineID: @GinnGinn หรือคลิกตามลิงค์ไปได้เลยฮับบบ
:))
References:
http://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS0140-6736(17)32252-3/fulltext
แตงโม
ความรู้สาระดีมากเลยคะ
Did you find this review helpful? Yes No
ฟ้าใส
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ
Did you find this review helpful? Yes No